The Void วรท จารุศิริกุล
“The Void” หรือ ‘สภาวะสุญญากาศ’ ในที่นี้จึงเป็นการพูดถึงพูดถึงพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านภายในจิตใจ เหมือนลานโล่งริมขอบผาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปอย่างไร เป็นสภาวะการหยุดนิ่ง ที่ลอยค้างอยู่ระหว่างสิ่งที่ยังคงอยู่กับสิ่งที่เริ่มเลือนหายไปแล้ว บรรยากาศรอบตัวนั้นยังคงเก็บกักความตึงเครียดและกดดัน ระหว่างเวลา ความทรงจำ และอารมณ์ที่เริ่มสลายหายไป แต่ยังคงมีร่องรอยทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งทั้งหมดนั้นยังดำรงอยู่ร่วมกัน อย่างเปราะบาง การตัดสินใจบางอย่างอาจทำให้สามารถเกิดรอยร้าว และการสูญเสียไป
อย่างไรก็ตาม ‘สภาวะสุญญากาศ’ กลับเป็นโครงพื้นฐานของอารมณ์ของมนุษย์ที่ต้องพบเจอ ความกลัวที่จะสูญเสียไม่ได้จบลงแค่ตรงนั้น การทำลายที่ไม่ได้มีไว้เพื่อลบล้างแต่ยังเป็นก้าวแรกในการเปิดทางไปสู่เส้นทางใหม่ที่คุณยังไม่เคยรู้จัก ในความหมายนี้ ‘สภาวะสุญญากาศ’ จึงเป็นหนึ่งในพลังของการกระทำ เพื่อสร้างแรงผลักดันให้สิ่งต่อๆ ไปในอนาคต
แนวทางการสร้างสรรค์ของ วรท จารุศิริกุล มักใช้การดำรงอยู่ของตนเองเป็นที่ตั้ง ในการสำรวจร่างกายและจิตใจของมนุษย์ พร้อมถ่ายทอดเรื่องด้านมืดและสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นของธรรมชาติมนุษย์ คำถามหนึ่งที่มักค้างคาอยู่ในใจเขาอย่าง “ด้านมืดของมนุษย์ควรถูกเปิดเผยออกมา หรือควรถูกเก็บซ่อนไว้?” หลังจากที่หันกลับมามองตนเอง ศิลปินจึงได้ใช้ตัวเองเป็นค่ากลาง เพื่อหลีกเลี่ยงการเหมารวม ว่ามนุษย์ทุกคนมีข้อบกพร่องที่ซ่อนเร้นที่เหมือนกัน ทำให้ผลงานทุกชื้น กลายเป็นสิ่งที่มีความส่วนตัวและปัจเจกบุคคลสูง แต่ก็อาจจะมีใครสักคนที่มีประสบการณ์ร่วมได้เช่นเดียวกัน
ด้วยความหลงใหลในความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจกับร่างกายมาอย่างยาวนาน วรท จารุศิริกุลยังคงสำรวจสายสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณ กายวิภาค จิตสำนึก และความมืดลึกลับที่เร้นซ่อนอยู่ในมนุษยชาติ ผลงานของเขามักเริ่มต้นจากเหตุการณ์เกิดขึ้นจากชีวิตประจำวันหรือช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งเขานำมาจินตนาการใหม่ให้กลายเป็นรูปทรงและรูปทรงทางธรรมชาติที่คลุมเครือ เฝ้าสังเกตความมืดภายในจิตใจซึ่งมีผลโดยตรงกับอารมณ์ แต่ไม่มีใครกล่าวถึง ด้านที่ถูกสังคมมักปกปิดไม่ให้ปรากฏ ในอีกนัยหนึ่งความหลงใหลของเขาที่มีต่อกายวิภาคไม่ใช่เพียงการศึกษาความจริงทางวิทยาศาสตร์ของร่างกาย แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามของมนุษย์ที่จะเข้าใจแรงขับเคลื่อนภายในจิตใจคน กายวิภาคนั้นได้กลายเป็นทั้งพื้นที่แห่งความรู้และพื้นที่แห่งจินตนาการ ซึ่งเชื่อมโยงกับความปรารถนาและความทรงจำ ความพยายามนี้ยังสืบเนื่องกับกรอบความคิดของศิลปะเซอร์เรียลิสม์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งได้หยิบยืมร่างกายมาเป็นวัตถุดิบสำคัญ “สนามแห่งความปรารถนาและความกลัว” ได้สร้างภาพที่ผสมผสานระหว่างความจริงทางกายวิภาคกับตรรกะแบบความฝัน เป็นภาพแทนของจิตไร้สำนึกและพื้นที่ซึ่งความทรงจำ ความใฝ่หา และสิ่งที่ถูกเก็บกดถูกนำกลับมาสร้างเป็นรูปใหม่ ความสวยงามและความน่าสะพรึงจึงดำรงอยู่พร้อมกันในร่างกายที่ถูกตีความและประกอบสร้างใหม่ภายใต้กรอบความคิดแบบเหนือจริง ทำให้ร่างกายไม่ได้ถูกมองแค่ในมิติของเนื้อหนังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
อวัยวะภายในร่างกายเป็นภาชนะบรรจุความปรารถนา ความทรงจำ และความทรงจำที่ถูกเก็บกดไว้ด้านใน รูปร่างของมันเปลี่ยนไปตามอิทธิพลของประสบการณ์ ความคิดและอารมณ์ ประกอบสร้างใหม่เป็นเนื้อเยื่อที่แปลกประหลาด หรืออีกนัยหนึ่ง อวัยวะของร่างกายคือการบอกเล่าถึงร่องรอยของสภาวะทางจิตใจ พื้นที่ในบริเวณกึ่งกลางการเปลี่ยนผ่าน ที่ถูกนำมาเขียนเป็นรูปร่างทางกายวิภาค ซึ่งมีความเหนือจริงที่ล่องลอยอยู่ในความฝันและชวนให้รู้สึกไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน
ในนิทรรศการใหม่ครั้งนี้ สีโทนเย็นได้ละเลงทั่วผืนผ้าใบ บอกเล่าความรู้สึกติดค้างและไม่มั่นคง ในระหว่างการตระหนักถึงความไม่จีรังผสมกับการเดินทางที่ไร้จุดหมายหรือทิศทางของสภาวะสุญญากาศ แต่ทุกชิ้นงานกลับเชิญชวนให้ทุกท่าน ได้ชื่นชมความสวยงามที่ได้มาระหว่างการเปลี่ยนแปลง และกลายสภาพของความทรงจำ
By พรปวีณ์ ฤทธิรงค์ขจร, 2025

Calamity, 2024
Oil on canvas
280 x 190 cm
ภาพเนื้อเยื่อภายในที่เกี่ยวพันซ้อนทับกันไปมา ก่อให้เกิดเป็นสายใยสีเข้มจนดำสนิท ราวกับกำแพงที่เกิดจากการผูกมัดและกดทับซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นพื้นผิวขนาดใหญ่ที่เลียนแบบกระแสการเคลื่อนไหวในร่างกายสิ่งมีชีวิต มันไหลลื่น บิดเบี้ยว และปะทะกันอย่างไม่หยุดยั้งจนช้ำใน เหมือนรากไม้ที่ถูกถอนขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหตุการณ์ที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ทิ้งร่องรอยที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจมนุษย์ ผลงานชิ้นนี้จึงชวนให้มองเห็น “ภัยพิบัติ (Calamity)” ที่มิได้เกิดขึ้นเพียงภายนอก หากแต่เกิดขึ้นภายในจิตสำนึก ที่ยังคงเก็บกักความตึงเครียด ความกดดัน และร่องรอยของอารมณ์ ที่ค่อย ๆ สลายหายไปพร้อมกับกาลเวลาและความทรงจำ
ภาพของความรุนแรงหรือการพังทลาย ผ่านกระแสการเคลื่อนไหวในธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ที่จับเอาช่วงเวลาล่องลอยระหว่างการดำรงอยู่กับการเลือนหาย ของประสบการณ์ย้อนแย้งของการมีอยู่และการสูญเสียในคราวเดียวกัน เส้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันพุ่งเข้าหากันและกระทบกระแทกกันอย่างไร้ทิศทาง รุนแรงและทำลายล้าง คล้ายกับปรากฏการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์อย่างกะทันหัน
แต่ ณ ที่นี้ ภัยพิบัติ คือสภาวะการเปลี่ยนผ่าน ที่เมื่อยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างการแตกสลายกับการตัดสินใจเดินต่อ ซึ่งความเสียหายนั้นหยั่งรากลึกยิ่งกว่าระดับในระดับกายภาพ แต่ฝังรากเข้าไปในจิตสำนึก จนอาจไม่สามารถย้อนคืนความเสียหาย เก็บไว้โดยยังไม่ถูกแก้ไข และความจริงที่น่าเศร้าของความเปราะบางและยากแท้หยั่งถึงของจิตสำนึกมนุษย์

Erosion, 2025
Oil on canvas
59.5 x 42.5 cm
ภาพวาดทิวทัศน์พายุกำลังก่อตัวเหนือห้วงมหาสมุทร ที่มีคลื่นลมแรงโหมกระหน่ำและความมืดที่ค่อย ๆ ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า โดยมีภูเขาน้ำแข็งอันโดดเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่กลางความวุ่นวาย หากแต่ก็ยังคงต้องต่อสู้กับคลื่นลมอารมณ์ความรู้สึกที่กัดกร่อนจิตใจภายใน กลายเป็นภาชนะรองรับความรู้สึกด้านลบ ที่ยังไม่สามารถแก้ไข รักษา หรือกำจัดออกไปอย่างหมดจดได้
ใน “Erosion” ศิลปินหันกลับมาสู่ภาพวาดทิวทัศน์ เป็นการเบี่ยงออกจากแนวทางการทำงานที่ปกติมักมุ่งเน้นไปในการวาดภาพเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่เล่าเรื่องผ่านภาพทิวทัศน์มหาสมุทรที่เต็มไปด้วยคลื่นลมและท้องฟ้าที่กำลังจะดำมืด เป็นการสร้างภูมิทัศน์ทางอารมณ์ เมื่อออกเดินทางภายใน ‘สภาวะสุญญากาศ’ แน่นอนว่าการตัดสินใจที่จะเดินต่อไปในโลกภายนอกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกประสบการณ์ที่พบเจอ พร้อมจะแปรสภาพเป็นพายุที่คุกคามอยู่ข้างใน เหล่าคลื่นน้ำกลายเป็นภาชนะของความรู้สึก ความทรงจำและอารมณ์ที่พัดผ่าน ขยายตัว และปะทะกัน เรื่องราวหนักหนาถาโถมทำลายภายในจิตใจ ส่งผลให้เกิดกระบวนการกัดเซาะอย่างช้าๆ จิตใจที่เคยตั้งมั่นเหมือนภูเขาน้ำแข็งกลางภาพ ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างภายในไปตามกาลเวลา จนในบางครั้งความเสียหายก็ไม่อาจย้อนกลับมาดังเดิม

Inflame, 2025
Oil on canvas
59.5 x 35.5 cm
วรท หรี่ตาลงเพื่อพิจารณาชิ้นส่วนแยกของ “Calamity” อย่างเจาะจงมากขึ้น ภาพของเนื้อเยื่อภายในที่ซ้อนทับกันถูกขยายใหญ่ จนกลายเป็นก้อนหนา ที่บวมช้ำและอัดแน่นจากแรงกดดันทางอารมณ์ เส้นสายยังคงเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่ไหลวนอยู่ภายในร่างกาย แต่กลับดูหนักแน่นและอึดอัดมากกว่าเดิม จุดสว่างเล็ก ๆ ท่ามกลางความมืดโดยรอบทำให้ก้อนเนื้อเหมือนกำลังเต้นอยู่จากภายใน ราวกับสิ่งที่ถูกกักเก็บไว้นาน กำลังหาหนทางปะทุออกมา

Static, null, and dumb, 2025
Oil on canvas
59.5 x 41 cm
ภาพวาดถูกสร้างขึ้นด้วยโทนเย็นเป็นหลัก ซึ่งสอดรับกับบรรยากาศของนิทรรศการ โดยมีเศษเสี้ยวประกายสีเหลืองกระจายอยู่ราวกับเส้นแสงสว่างที่กะพริบอยู่ท่ามกลางความมืด รูปทรงขนาดใหญ่ที่ไหลลื่น พร้อมเค้าลางของเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิต บ่งบอกถึงทั้งการยับยั้งและการปลดปล่อย ทั้งการปฏิเสธและการแสดงออกซ้อนทับกันจนเป็นชั้นสีหนาบนผืนผ้าใบ
“Static, null, and dumb” คือผลลัพธ์จากการที่วรท ปล่อยให้มือเคลื่อนไหวไปอย่างอิสระบนผืนผ้าใบ เริ่มจากการจะวรทพู่กัน และค่อย ๆ ปล่อยสัญชาตญาณให้เข้าควบคุม จนรูปร่าง ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา โดยไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ที่จะออกมาเป็นอย่างไรในท้ายที่สุด ซึ่งแม้ชื่อผลงานจะชวนให้นึกถึงความสงบนิ่ง ว่างเปล่า และไร้ซึ่งเสียง แต่สิ่งที่ปรากฏกลับเผยให้เห็นถึงการเคลื่อนไหว ความลื่นไหล และประกายแห่งแสงที่ไม่อาจคาดเดาได้